หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม แต่งรูป คำคม Glitter สเปซ ไดอารี่ เกมถอดรหัสภาพ เกม วิดีโอ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

ปลอกเปลือกชีวิตผู้หญิงกล้าแห่งปี......ลีน่า จังจรรจา

โพสท์โดย แฟง

ตอนที่ 1

แม่ค้าในสายเลือด

ถ้าชีวิตเลือกเกิดได้ แล้วคนเราจะเลือกยืนอยู่ตรงจุดไหนบนโลกใบนี้ดีล่ะ ก็ถ้าเป็นอย่างนั้น ใครต่อใคร ก็คงต้องแย่งกันเลือกที่จะคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดเป็นทายาทมหาเศรษฐีร้อยล้าน พันล้านกันทั้งนั้น แต่ในเมื่อความจริง ไม่มีใครเลือกเกิดได้นี่ แล้วจะคิดมากไปทำไมล่ะ

 

“ดิฉันต้องปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เล็กๆ ชีวิตมันก็เหมือนละครน้ำเน่า คุกตารางก็ติดมาแล้ว จริงๆ ชีวิตมันเน่ายิ่งกว่านิยายซะอีก ดิฉันจึงได้คิดเสมอมาว่าชีวิตมันต้องสู้ถ้าเราไม่สู้ เราก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ไม่งั้นวันนี้ คงไม่มีใครรู้จักดิฉัน”

‘ลีน่า จังจรรจา’ แม่ค้า นักธุรกิจ นักกฎหมาย หรือแม้แต่ ผู้หญิงที่อยากจะเป็นนักการเมืองหญิงคนหนึ่งในประเทศไทย
แต่ว่าใครๆ ก็ชอบมอง หาว่าดิฉัน ลีน่า จังจรรจาอยากดังบ้างล่ะ ลีน่า จังจรรจา บ้าบ้างล่ะ ลีน่า จังจรรจา เป็นพวก 18 มงกุฎ บ้างล่ะ เจ็บปวดค่ะ เจ็บปวดมาก...
บางทีการมองคนและตัดสินคนจากเปลือกนอก หรือตัดสินใครคนใดคนหนึ่งอย่างฉาบฉวย ก็ใช่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เรารู้จักตัวตนที่แท้จริงของใครคนนั้นเสมอไป
คุณแน่ใจแล้วเหรอว่าสิ่งที่พวกคุณเห็นตามสื่อ มันทำให้พวกคุณ รู้จักตัวตนของผู้หญิงที่ชื่อ “ลีน่า จังจรรจา” เพียงพอแล้วจริงๆ

ยังไม่ทันที่ช่วงเวลารุ่งอรุณของเช้าวันใหม่จะมาเยือน เพียงแค่เสียงนาฬิกาดังเป้ง ๆ บอกเวลา 3 ยาม แสงสว่างจากแสงไฟนีออน จากบ้านเช่าสองชั้นกลางเก่ากลางใหม่ที่นับวันก็ยิ่งชำรุดทรุดโทรม ก็เริ่มส่องแสงสว่างขับไล่ความมืดให้จางหายไป
แล้วภายในเวลาอีกไม่กี่นาทีต่อมา สมาชิกทั้ง 12 คน ภายในบ้านหลังนี้ก็ต้องรีบสลัด ความเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า รวมทั้งความง่วงทิ้งไปในทันที เพื่อที่จะรีบลุกขึ้นมากัดฟันดิ้นรนทำมา ค้าขายเลี้ยงชีวิตกันต่อ เพราะทุกคนต่างมีความหวังว่าความยากจนที่มันกัดกร่อนจิตใจ อย่างไม่มีลดละนั้น มันอาจจะทุเลาเบาลงไปได้บ้าง ถ้าเราขยันทำมาหากิน

“ป๊า! เดี๋ยวฉันจะพาลีน่านั่งรถไฟ ไปที่สวนก่อนนะ ป๊าก็เอาน้ำตาลสด ที่เตรียมไว้ไปขายที่ตลาด แล้วกัน ดูลูกๆ ด้วย ฉันต้องรีบไปก่อน เดี๋ยวไม่ทัน”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด คุณแม่ล่วงมุ้ย แซ่ตั้ง ก็รีบกุลีกุจอ อุ้มเด็กหญิงวัยกำลังน่ารัก พร้อมกับหาบน้ำตาลสดตรงดิ่งไปขึ้นรถไฟทันที
แต่ก็ยังมิวายมีเสียงผู้ที่เป็นสามีตะโกนไล่หลังส่งท้ายด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“ม้า! พาลูกขึ้นรถ ขึ้นเรือก็ระวังตัวดีๆ ล่ะ อย่าให้ลูกตกน้ำตกท่าไปล่ะ”
“รู้แล้วจ๊ะป๊า ป๊าก็รีบเตรียมตัวไปขายของเถอะ ฉันไปก่อนแล้วนะ”

แม้ลึกๆ ในใจผู้เป็นสามีจะรู้สึกสงสารผู้เป็นภรรยาจับขั้วหัวใจ แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อตัดสินใจจูงมือกันข้ามน้ำข้ามทะเลจากถิ่นฐานเมืองมังกร บ้านเกิดเมืองนอน มาตายเอาดาบ หน้าที่ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นสยามเมืองยิ้มโดยไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเอง และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาจนป่านนี้แล้ว
ชายวัย 40 ปีเศษๆ พยายามข่มตาให้หลับ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเต็มกำลัง เพื่อระงับความเจ็บปวดที่มากัดกินความรู้สึกให้เหนื่อยล้า และบั่นทอนกำลังใจ โดยพยายามปลุกปลอบใจตัวเองว่า เมื่อยังมีลมหายใจ ชีวิตก็ต้องสู้กันต่อไป
หลังจากเติมแรงใจให้ตัวเอง “คี่หงอ แซ่จัง” ก็เร่งรีบจัดแจงภาระหน้าที่ของตัวเองให้พร้อมสรรพ ก่อนจะเดินเท้ามุ่งหน้าสู่ตลาดวรจักร แหล่งทำมาหากินของตัวเอง

ภาพแบบนี้เมื่อ 49 ปีก่อนจะมีให้เห็นอยู่เกือบทุกวัน จะไม่ได้เห็นภาพชินตาเหล่านี้อยู่บ้าง ก็ต่อเมื่อ หญิงหรือชายวัยกลางคน ที่ตรากตรำทำงานหนัก เพื่อเลี้ยงลูกทั้ง 9 คน ที่คลอดออกมาชนิดหัวปีท้ายปี ล้มป่วยจนลุกขึ้นยืนไม่ไหวนั่นล่ะ
และภาพเหล่านี้ ก็ยังติดตาตรึงอยู่ในความทรงจำของสมาชิกภายในบ้านหลังนี้อย่างไม่มีวันลืมเช่นกัน แม้วันนี้มันจะกลายเป็นความทรงจำสีจางๆ ไปแล้วก็ตามที

 

 

“พี่เกิดที่วรจักรค่ะ วรจักรจะอยู่ใกล้ๆ ที่ตลอดคลองถม ครอบครัวพี่จะยากจนมาก มีพี่น้องทั้งหมด 12 คน คุณพ่อคุณแม่ก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากประเทศจีน เมื่อก่อนประเทศจีน เป็นประเทศคอมมิวนิสต์อดอยากมาก แล้วคุณพ่อคุณแม่พี่มีอาชีพเป็นชาวนา ขนาดเป็นชาวนา ข้าวที่จะกินเข้าไปในแต่ละมื้อก็ยังไม่มีเลย ต้องไปขุดมันกินต่างข้าว ความยากจนมันทำให้คุณพ่อคุณแม่พี่ยอมเสี่ยงที่จะข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากซัวเถา เป็นพวกหลบหนี เข้าเมืองมาที่ประเทศไทย ความยากจน มันทำให้เราต้องกัดฟันดิ้นรนน่ะ (น้ำเสียงเศร้าๆ)

พอทีนี้คุณแม่ไม่ได้เรียนหนังสือ อยู่ที่ประเทศจีนก็ไม่ได้เรียนหนังสือ มาเมืองไทยก็เป็นคนหลบหนีเข้าเมืองอีก ท่านก็เลยคลอดลูกเองที่บ้าน ซึ่งคุณแม่เล่าให้พี่ฟังว่า ตอนที่พี่จะคลอดออกมา คุณแม่ฝันว่าเห็นเหมือนมีเจ้าหญิงอินเดียอุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาให้ พอตื่นขี้นมาปุ๊บ คุณแม่พี่ก็เจ็บท้องคลอดพี่ทันทีเลย แม่ก็ตะโกนบอกคุณพ่อ คุณพ่อก็เลยมาช่วยทำคลอดพี่ คุณพ่อเป็นคนตัดสายรกให้กับลูกทุกคนด้วยมือของท่านเอง

และพอท่านคลอดพี่ออกมา คุณแม่ก็เล่าความฝันที่ว่าเห็นเหมือนเป็นเจ้าหญิงอินเดีย อุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาให้ ด้วยความฝันนั้นแหละ คุณพ่อคุณแม่เค้าก็เลยตั้งชื่อลูกสาวคนนี้ตามเจ้าหญิงแขกในหนังอินเดียก็แล้วกัน เพราะว่าสมัยก่อนยุคนั้น 40-50 ปีที่แล้วคนนิยมชอบดูหนังอินเดียกันมาก ไม่ต้องมองใครที่ไหนไกลหรอก ก็แม่พี่นี่แหละ โอ้โห! ท่านชอบพวกหนังอินเดียมาก แล้วพวกนางเอกหนังอินเดียส่วนมากก็จะชื่อลีนา ลีน่า อะไรแบบนี้แหละค่ะ คุณพ่อคุณแม่ก็เลยตั้งชื่อให้พี่เป็น “เด็กหญิงลีนา แซ่จัง”

พี่เป็นลูกคนที่ 9 ของพ่อแม่ และก็มีพี่น้องทั้งหมด 12 คนด้วยกัน จริงๆ พี่ก็อยากรู้นะว่าตอนที่พี่เกิดสภาพแวดล้อม บรรยากาศตอนนั้นมันเป็นยังไง แต่เราจะไปคาดหวังอะไร คุณพ่อคุณแม่พี่เค้าไม่มีอารมณ์มานั่งสุนทรีย์อะไรเหมือนคนในสมัยนี้หรอก วันเกิด จริง ๆ ของพี่ พี่ก็ยังไม่รู้เลย (หัวเราะร่วน) จริงๆ นะ แต่วันเกิดตามบัตรประชาชนที่คุณพ่อไปแจ้งให้พี่นั้น เป็นวันที่ 14 สิงหาคม 2502 เป็นคนราศีสิงห์ค่ะ ซึ่งมันก็ไม่ใช่วันเดือนปีเกิดที่แท้จริงของพี่หรอกค่ะ เพราะพอเราเกิดมาแล้วกว่าพ่อแม่เราจะไปแจ้งเกิดที่สำนักงานเขตก็ช้ามาก กว่าจะไปแจ้งก็ลูกโตแล้ว เหมือนครอบครัวคนอื่นๆ ในสมัยก่อนน่ะ ถ้าคนที่เป็นเชื้อสายลูกหลานคนจีนจะเข้าใจ แล้วลูกเค้าเยอะ เค้าก็จะจำไม่ได้หรอกว่าจริงๆ แล้วลูกคนไหน เกิดวันไหนอะไรยังไง คนมันจนน่ะ คลอดเสร็จก็ต้องทำมาหากินต่อ

อีกอย่างหนึ่ง คุณแม่พี่เค้าก็เป็นคนหัวโบราณมาก ไม่มีทางยอมให้ใครรู้วันเกิด ที่แท้จริงของลูกๆ หรอก เพราะกลัวคนอื่นจะไปทำคุณไสย คือคนจีนโบราณเค้าจะคิดกันอย่างนั้น แล้วแม่หัวโบราณมาก จนป่านนี่พี่ก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองเกิดวันที่เท่าไหร่ แต่พี่ก็จะถือเอาวันที่ 14 สิงหาคม ที่คุณพ่อคุณแม่ไปแจ้งเกิดให้เนี่ยแหละ เป็นวันคล้ายวันเกิดของพี่ในแต่ละปี (หัวเราะ) ก็เราไม่รู้ คุณแม่ไม่ได้บอก เราก็ต้องเอาแบบเนี่ยแหละ”

ความทรงจำสีจางๆ

“แล้วก็อย่างที่ได้เกริ่นจั่วหัวไปนั่นแหละ ตอนเด็กๆ เท่าที่พี่จำความได้ ทุกๆ วันเลย พอตีสอง ตีสาม พี่น้องพ่อแม่ก็ต้องตื่นลุกจากที่นอนกันหมดแล้ว เพราะแม่ต้องไปขายน้ำตาลสด แล้วสมัยก่อนช่วงนั้นก็มีข่าวซีอุยกำลังดัง ซีอุยที่ควักไส้ ควักพุง ควักตับเด็กมากิน คนเค้าเล่าขานกันซะน่ากลัว แล้วตอนนั้นพี่ก็ยังเล็ก เล็กสุด คุณแม่พี่ไปไหนก็จะกระเตงเอาพี่ไปด้วย

ก็คือคุณแม่ต้องไปหาบน้ำตาลสด ไปรับซื้อถึงที่สวนตาลเลยน่ะ แล้วก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ด้วย ไกลมาก... คือตอนนั้นคุณแม่พี่อยู่กรุงเทพฯใช่มั้ยคะ อยู่ตรงตลาดวรจักรอย่างที่บอก ตีสองตีสามก็ต้องรีบตื่นลืมตาขึ้นมาแล้ว พี่เองก็ต้องตื่นกะเค้าด้วย พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว คุณแม่ก็ต้องรีบจรลีไปนั่งรถไฟที่หัวลำโพง แล้วก็ต้องอุ้มพี่ไปด้วยนะ

ตอนเด็กๆ น่ะ พอลงรถไฟปุ๊บจำได้แม่นเลยว่า เราต้องไปนั่งเรือข้ามไปอีกต่อหนึ่ง พอถึงสวนตาล ฟ้าก็สว่างพอดี แล้วเราก็จะไปซื้อน้ำตาลสดที่เค้าเอาลงมาจากต้นสดๆ นั้นแหละ และก็ต้มที่สวนนั้นเลย เอาฟืนมาก่อไฟกองใหญ่ เอากระทะใบใหญ่ๆ มาต้มเพื่อกันไม่ให้มันบูดมันเสีย พอต้มเสร็จแล้วก็เอาใส่หาบ แล้วก็หาบมาขึ้นเรือ ขึ้นรถไฟเอากลับมาที่บ้าน เป็นอย่างนี้มาตลอดมันเป็นภาพที่พี่จำความได้มาตั้งแต่เด็กๆ”

และแม้จะเป็นเด็กเล็กๆ วัยเพียงไม่กี่ขวบ แต่ทุกเช้าที่ถูกปลุกให้ลุกจากที่นอน ที่มีพี่ๆน้องๆ นอนเรียงกันเป็นแผงอัดแน่นยังกับปลากระป๋อง แต่ “เด็กหญิงลีนา” ก็จะลุกขึ้นมา เดินตามหลังผู้เป็นแม่ ทุกเช้าอย่างไม่เคยออกอาการงอแงเฉกเช่นเด็กคนอื่นๆ เลยสักครั้ง ตรงกันข้าม “เด็กหญิงลีนา” กลับเป็นเด็กเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย และยังรู้จักช่วยแบ่งเบาภาระของผู้เป็นแม่อีกต่างหาก....

“ตอนเล็กๆ พี่เป็นเด็กเลี้ยงง่ายมากๆ ไม่เคยร้องไห้กระจองอแงสักกะนิด เลี้ยงง่ายมากๆ อาจเป็นเพราะว่าเรารู้ว่าบ้านเราจนแค่ไหน และพี่ก็เป็นเด็กดีด้วย (ยิ้มหวาน) สมัยเด็กๆ พี่ชอบช่วยคุณแม่ทำงานบ้านซักผ้า จำความได้ ตอน 7 ขวบก็ทำงานบ้านแล้ว ทั้งซักผ้า ถูบ้าน ขัดห้องน้ำ อย่างเรื่องซักเสื้อผ้า พี่เป็นลูกคนที่ 9 ใช่มั้ย แล้วต่อมาก็มีน้องชาย และก็น้องสาวอีก เสื้อผ้าของทุกคนในบ้านพี่ซักให้หมด ของคุณพ่อคุณแม่ด้วย แหม! เป็นคนรักสะอาดมาก” (ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ)

แม่ค้าในสายเลือด

“พอมาอายุ10 ขวบ คราวนี้ก็ได้มาเป็นแม่ค้า ตามพ่อกับแม่แล้วทีนี้ คือตอนนั้นพี่ก็เข้าโรงเรียนแล้ว พี่ก็เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดพระพิเรนทร์ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับตลาดวรจักร ก็เรียนตามประสาคนจนน่ะ ซึ่งก็เป็นอันรู้กันว่าเรียนโรงเรียนวัดก็จะเรียนแค่ครึ่งวันเท่านั้น พอเลิกเรียนตอนเที่ยงปุ๊บ พี่ก็จะรีบกลับมาที่บ้านเลย เพราะรู้ว่าพอมาถึงที่บ้านคุณแม่ก็จะหาบ น้ำตาลสดไปให้นั่งขายอยู่ริมถนน พี่ก็จะนั่งขายน้ำตาลสดที่แม่หาบเอามาทิ้งไว้ให้นี่แหละตั้งแต่บ่ายโมงถึงหนึ่งทุ่มเลยนะ ขายถุงละสลึงเดียวเอง วันหนึ่งๆ พี่ก็จะขายน้ำตาลสดได้ประมาณ 25 บาท พอขายถึงทุ่มหนึ่งปุ๊บ แม่พี่ก็จะมาหาบเอาของกลับ เราก็จะเดินตามแม่กลับบ้าน เป็นอย่างนี้อยู่ทุกๆ วัน

ชีวิตในวัยเด็กของพี่วันๆ ก็ทำหน้าที่เป็นแม่ค้าขายน้ำตาลสดนี่แหละ ไม่มีเวลา ไม่มีโอกาสได้ไปวิ่งเล่น หรือไปเที่ยวที่ไหนกับใคร หรือว่าเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เค้าหรอกนะ เพราะอาชีพพ่อค้า แม่ค้าก็จะค้าขายกันอย่างไม่มีวันหยุด แล้วพี่น้องทุกคนในครอบครัวพี่ก็ไม่ได้มีอารมณ์ต้องนั่งเล่นตามประสาเด็กๆ เหมือนลูกๆ บ้านคนอื่นๆ เค้าหรอก

 

 

ความสุขที่สุดในวัยเด็กก็เห็นจะเป็นช่วงที่ถึง เทศกาลตรุษจีน สาร์ทจีนนั่นแหละที่พี่น้องได้มาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะวันนั้นเราจะต้องมานั่งคุกเข่าไหว้บรรพบุรุษกัน แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็จะหยุดขายของ ก็ไหว้เจ้าเสร็จ ก็จะพาเราไปเที่ยว คือไม่ได้ไปไหนไกลจากตลาดวรจักรนักหรอกนะ แต่แค่นั้นก็มีความสุขแล้วล่ะ

แล้วก็ไม่ใช่แต่พี่ลีน่าคนเดียวเท่านั้นนะ ที่ต้องมานั่งขายของน้ำตาลสด พี่ๆ เค้าก็ขาย น้ำตาลสดเหมือนเราเหมือนกัน ตอนนั้นพี่คนหนึ่งขายอยู่ตรงเวิ้งนครเกษม ใกล้ๆ กับสำเพ็ง อีกคนหนึ่งขายที่ตลาดสวนมะลิ ส่วนอีกคนหนึ่งขายตลาดศรีวรจักร ของพี่ลีน่าขายตลาดวรจักร แล้วสุดท้ายอีกคนหนึ่งก็ไปขายอยู่หน้าสมาคมYMCA ซึ่งสมาคมYMCA นี่จะสอนภาษาอังกฤษ สอนพวกดนตรีอะไรอย่างนี้นะคะ ขายอยู่ถึง5 สาขาด้วยกัน ก็แม่เราลูกเยอะไง และก็ยากจนก็ต้องช่วยกันทำมาหากิน

เวลาคนมันจน มันก็จนมากเหลือเกินนะ คือเรายากจนมาก กับข้าวที่จะกินยังไม่มี ก็จะต้องไปขอเค้ากินก็ยังเคยมีเลยเชื่อมั้ย ก็คือหมายความว่าร้านอะไหล่แถวตลาดวรจักรมีเยอะ เค้าก็เอากับข้าวเค้าที่ให้กับลูกน้องที่มารับ-ส่งอะไหล่แล้วกินเหลือ พวกของเหลือๆ นะก็จะ เทรวมใส่หม้อมา แล้วก็ต้มเป็นจับฉ่ายมาให้เรา โอ้โห้ (ทำเสียงสูงตาลุกวาว) มันก็เป็นอาหารเหลาที่วิเศษสำหรับเราแล้วน่ะ ดีกว่ากินข้าวกับน้ำปลานะ (หัวเราะเสียงใสเชียวล่ะค่ะ )

แล้วพี่เองก็ยังจำได้นะว่าวันไหนมีเงิน 6 สลึง ก็จะดีใจมากเลย ก็จะเอาหม้อใหญ่ๆ ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวเป็ด แล้วก็บอกคนขายไปว่าขอน้ำเยอะๆ เต็มหม้อนะคะ ซึ่งคนขายเค้าก็ใจดีกับเรา เหมือนกัน คือเหมือนเค้าก็สงสาร เวทนาเรานะเค้าก็ให้เราเยอะเชียวแหละ เราก็จะเอากลับมาใส่เครื่องปรุงเยอะๆ แล้วก็มากินกับข้าว แหม! อร่อยจังเลย (ยิ้มหวาน) มันแบบว่าแหม! มันรู้สึกโอ้โห! เราได้กินก๋วยเตี๋ยวเป็ด แต่มันเหมือนเป็นอาหารเหลาของเราเลย(หัวเราะ) หม้อหนึ่งมากินกันตั้ง 10 กว่าคนน่ะ หม้อละ 6 สลึง แต่มันเป็นอาหารที่ครอบครัวเราแบบ กว่าจะหาเงินมาซื้อกินได้เหนื่อยเหลือทน

คือเราก็ขายน้ำตาลสดมาตั้งแต่เด็กๆ พออายุถึง11ขวบ คุณแม่พี่ก็มาหกล้ม แขนหักซะนี่ ก็เลยหาบของไปขายต่อไปไม่ได้แล้ว ตอนนั้นท่านก็อายุก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ นึกออกใช่มั้ยคะ สภาพผู้หญิงวัยกลางคน ที่ผ่านการทำงานมาอย่างหนักหนาสาหัส แล้วพอคุณแม่แขนหัก ก็หาบของไปขายไม่ได้ พี่ก็เลยต้องเป็นคนหาบเอาน้ำตาลสดไปขายแทนแม่เองเลย

 



มันก็เลยมาถึงจุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่งของชีวิตพี่แล้ว เพราะคราวนี้พี่ต้องออกจากโรงเรียนเลย ตอนนั้นจำได้ว่าพี่เพิ่งเรียนอยู่แค่ป.5 เองมั้ง ตอนนั้นอายุประมาณ11 ขวบ ก็ตัดสินใจออกมาหาบของขายแทนแม่ทุกวันๆ ทำตลอด เนี่ยชีวิตในวันเด็กพี่ก็เป็นแบบเนี่ยอยู่กับอาชีพการเป็นแม่ค้า ค้าขายมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ เหมือนมันฝังอยู่ในสายเลือดเลย (หัวเราะร่วน)

ทีนี้พอโตขึ้นอีกหน่อย ทีนี้เก่งล่ะ ด้วยความที่เราขายของเป็นประจำทุกวันใช่ ทีนี้พอเก่งขึ้น คล่องขึ้นพี่ก็มาขายที่ตลาดวรจักร เชื่อมั้ย อุ้ย! จากขายวันหนึ่งเนี่ยได้วันละ ประมาณ หนึ่งร้อย สองร้อยบาทเนี่ย ทีนี้วันหนึ่งเราขายได้ตั้งพันแปดเชียวนะ (ทำตาโต) สมัยก่อนพันแปดเงินใหญ่นะ เงินใหญ่ ก็คิดดูค่าเงินเมื่อประมาณ 35 ปีก่อน สมัยนั้นยังใช้เงินบาท เงินสลึงกันอยู่เลย

ตอนนั้นพี่อายุราวๆ 15 ขวบแล้วล่ะ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราขายของดีมาก เริ่มได้เงิน เป็นกอบเป็นกำ และก็มีเงินพอเหลือเก็บด้วยล่ะ คือด้วยความที่เราเป็นคนไม่อยู่นิ่ง ชอบพัฒนา เหมือน เป็นเด็กที่มีเลือดแม่ค้าอยู่ในสายเลือดอย่างที่บอกนั่นละ เป็นคนตัวเล็กใจใหญ่ ชอบคิด ทำนู่นทำนี่ ทีนี้เรามีร้านขายน้ำตาลสดแล้วใช่ พี่ก็คิดได้ว่าเราน่าจะมีน้ำหลายๆ อย่างให้ลูก ค้า ได้เลือกซื้อ ดีกว่ามาขายน้ำตาลสดอย่างเดียว ก็เลยทำน้ำลำใย น้ำเก๊กฮวย น้ำมะพร้าว มาขายเพิ่ม อุ้ย! ซึ่งพอเอาไปขาย มันก็ขายได้ดีแหละ คราวนี้เอาใหญ่เลย คิดใหญ่เลย ขายทั้งซาหริ่ม ขายลอด ช่องสิงคโปร์ ขายน้ำแห้ว ขายน้ำวุ้น ขายน้ำเฉาก๊วย โอ้ย! ขายอยู่สิบกว่าอย่าง เก่งมาก อายุแค่ 15 เองนะ (ยิ้มแววตาเป็นประกาย ท่าทางภาคภูมิใจ)

คือตอนนั้นเราก็ขยันนะ ทำทุกอย่างคือพี่น้องคนอื่นเค้าก็ขายกันแต่น้ำตาลสด แต่พี่ไม่ทำนะ ขายน้ำตาลสดอย่างเดียวเราไม่เอา เรายอมตื่นแต่เช้าตรู่ เหนื่อยเพิ่มขึ้นมานิดหนึ่งนั่ง รถเมล์ออกจากบ้านไปมหานาคซื้อเฉาก๊วย ลอดช่อง กลับมาก็มานั่งคั้นน้ำกะทิ แล้ว คือพี่เป็นคน ชอบเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ทำงานตลอด คือเราเองก็กัดฟันสู้เหมือนกัน เพราะรู้แล้วว่าความยากจนมันลำบากแค่ไหน”

แค่เริ่มต้นย้อนวันวานในวัยเด็กเพื่อทำความรู้จักกับประวัติของ ชีวิตของ “เด็กหญิงลีนา แซ่จัง” เราก็ได้พบกับเรื่องราวชีวิตต้องสู้ ที่มีความ ลำบากยากจนเป็นแรงผลักดันให้ต้องปากกัดตีนถีบอย่างไม่มีท้อถอย

ฉบับหน้าเรื่องราวชีวิตของ “เด็กหญิงลีนา แซ่จัง” จะรันทดหดหู่ และต้องกัดฟันสู้กันขนาดไหนติดตามฉบับหน้าค่ะ

 

นิยายชีวิต ลีน่า จังจรรจา ตอนที่ 2 "ดอกรักผลิบาน"

 

ตอนที่ 2

"ดอกรักผลิบาน"

หลังจากโชคชะตาพลิกผันทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งในวัยเพียงแค่ 11 ขวบ ต้องออกจากโรงเรียนกลางคลันทั้งที่ใจนั้นเป็นเด็กใฝ่เรียนรู้ แต่เพราะความ ยากจน และสถานการณ์ความจำเป็นมันบีบคั้น ทำให้ “ลีน่า” ต้องเก็บเอา ความรู้สึก หดหู่ใจสลัดทิ้งไป และหันมาก้มหน้าก้มตาทำมาหากินกับชีวิตการเป็นแม่ค้า มืออาชีพอย่างจริงจัง

 

 

และผลของการเป็นคนขยันกัดฟันสู้อย่างไม่ลดละ เพียงชั่วพริบตา เมื่อก้าวเข้าสู่วัยแรกรุ่น “ลีน่า” ก็แทบจะเปลี่ยนตัวเองจากคนไม่มีอันจะกินกลายเป็น เศรษฐีนีรายใหม่ไปซะแล้ว...

“ตอนนั้นพี่อายุราวๆ 15 ขวบแล้วล่ะ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราขายของดีมาก เริ่มได้เงินเป็นกอบเป็นกำ และก็มีเงินพอเหลือเก็บด้วยล่ะ คือด้วยความที่เราเป็นคนไม่อยู่นิ่งชอบพัฒนาเหมือนเป็นคนตัวเล็กใจใหญ่ ชอบคิด ทำนู่นทำนี่ ทีนี้เรามีร้านขายน้ำตาลสดแล้วใช่ พี่ก็คิดได้ว่าเราน่าจะมีน้ำหลายๆ อย่างให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ ดีกว่ามาขายน้ำตาลสดอย่างเดียว

พอคิดได้อย่างนี้ก็เลยทำน้ำลำใย น้ำเก๊กฮวย น้ำมะพร้าว มาขายเพิ่ม อุ้ย! ซึ่งพอเอาไปขาย มันก็ขายได้ดีแหละ คราวนี้เอาใหญ่เลยคิดใหญ่เลย ขายทั้งซาหริ่ม ขายลอดช่องสิงคโปร์ ขายน้ำ แห้ว ขายน้ำวุ้น ขายน้ำเฉาก๊วย โอ้ย! ขายอยู่สิบกว่าอย่าง เก่งมาก อายุแค่ 15 เองนะ (หัวเราะร่วน)

พอทำไปได้สักพักพี่ก็เริ่มมีเงินเหลือกินเหลือใช้มากขึ้น เพราะเราขายของหลายอย่างใช่ม้า... แล้วมันก็ได้กำไรดี ตัวเราเองก็เป็นคนคิดการณ์ใหญ่ กล้าได้กล้าเสีย ก็คิดที่จะจัดนำเที่ยวอีก คืออยากจะพาคนไปเที่ยวเขาใหญ่ พอคิดปุ๊บก็ทำปั๊บเลย ก็ไปติดต่อหารถเช่าทันที คือเราคล้ายๆ เป็นคนหัวหมอ และก็ขี้โกงนิดหนึ่งน่ะ (หัวเราะแบบเขินๆ) เป็นคนฉลาดแกมโกงเมื่อตอนเด็กๆ นะคะ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วนะ (ยิ้มหวาน) ตอนนั้นก็เลยแบบว่าพิมพ์บัตรไป200ใบ แต่ไปจองรถไว้แค่80 ที่นั่งไงคะเป็นรถบัสนะ

แล้วตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมีอารมณ์ศิลปินใช่ย่อยน่ะพี่เองเนี่ย ก็เลยคิดร่าง คำพูดให้มันสละสสวยบนบัตรที่เราเอาไปพิมพ์นั้นนะ แล้วพอเวลาเอาไปขาย ปรากฎว่า อุ้ย! ขายหมดเลย 200 ใบ (น้ำเสียงตื่นเต้นดีอกดีใจ) ที่นี่ก็เดือนร้อนสิคะ เพราะพอถึงวันนัดมากันหมดทั้ง 200 คนเลย เราก็ตายสิ (หัวเราะ) ไม่มีรถจะพาไป แล้วเราก็ยังไม่ได้เก็บเงินเค้าไงตอนที่ขายไปน่ะ คือทำแบบว่าพอมาขึ้นรถถึงจะเก็บเงิน ซึ่งก็เป็นธรรมดา ที่เราต้องทำเพื่อไว้ก่อนถูกมั้ย

คือพอเอาไปขายแล้วดันมากันหมดทุกคนเลยก็เดือดร้อนน่ะสิ (หัวเราะร่วน) เงินก็อยากได้ เราก็เลยต้องรีบแก้ปัญหา พี่ก็ต้องวิ่งไปหารถแถววงเวียนเล็กเพราะเราอยู่ที่ตลาดวรจักรไงก็ไปเอารถขนศพมา 40 ที่นั่ง เอามา 2 คันน่ะ แต่ก็ยังไม่พออีก อุ้ย! วุ่นวายยกใหญ่เชียวล่ะวันนั้น ทีนี้เลยกลายเป็นเราต้องเช่ารถบัส 2 คัน อุ้ย! ได้กำไรมาตั้งสี่พันบาท เงินใหญ่มากเลยนะ ...... (น้ำเสียงตื่นเต้น) สี่พันบาทตอนนู้น 35 ปี ก่อนมันก็เท่ากับสี่แสนเลยล่ะ ในปัจจุบัน คิดดูสิแล้วช่วงสมัยนั้นมันหาไม่ได้ง่ายๆ เลยน่ะ” (แววตาแห่งความสุขในวันวานผุดขึ้นมาให้ได้เห็นกันอีกครั้ง เมื่อลีน่าได้เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตที่น่าทึ่ง)

ทว่าพอความสุขมันโบยบินเข้ามาให้ชุ่มชื่นหัวใจได้ไม่ทันไร ก็มี เหตุการณ์ เศร้าสลดที่ทำให้ชีวิตของ “ลีน่า” ต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากเกิด เรื่องเข้าใจผิดและมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกับบุพการีรุนแรงขนาดถึงขั้นที่ว่าถูกขับไล่ออกจากบ้าน

ซึ่งผลพวงของความน้อยเนื้อต่ำใจกับคำพูดของผู้เป็นแม่ในครั้งนั้นทำ ให้ “ลีน่า” หอบเอาความรู้สึกเจ็บปวดไปเรียนรู้ และรู้จักกับคำว่า “รัก” เข้าจนได้

“ชีวิตพี่เริ่มมาพลิกผันเข้าอีกครั้งก็ตอนที่เรามีเงินเยอะแล้ว มันก็เลยทำให้เราเกิดกิเลส อยากจะได้นู่น อยากจะได้นี่ ก็เลยไปเรียนกีต้าร์ เพราะความที่ตอนนั้นมีดาราญี่ปุ่นคนหนึ่งดังมากดังระเบิดเลยนะ (น้ำเสียงสดใส) เป็นนักร้องที่เค้าแบบจะดีดกีต้าร์ไว้ผมยาวๆ ไว้ผมทรง หน้าม้าด้วย และจุดเด่นของเค้าก็คือทำผมเป็นสี ๆ นี่แหละสะดุดตาพี่มาก

เราก็แหม! คลั่งไคล้นะ (หัวเราะร่วนๆ ) ก็ทำตามเค้าทุกอย่างเลย คือเค้าทำอะไร เราก็ทำตามเค้าด้วยความที่ชอบมาก.... (รากเสียงยาว) ชอบจริงๆ อยากเป็นแบบนั้นบ้าง เพราะฉะนั้นพอมีเงินเยอะปุ๊บเราก็ไปเรียนกีต้าร์ที่สมาคม YMCA กีต้าร์แพงนะคะตอนนั้นราคาตัวหนึ่งก็ตั้งสี่ร้อยบาทเทียบเท่าตอนนี้ก็ประมาณสี่หมื่นนะคะ (เสียงสูง ทำตาลุกวาว) แต่เราไม่ได้คิดอะไร ก็ไปซื้อเลย และก็ถือกีต้าร์ไปเรียน แล้วค่าเรียนก็แพงตั้งพันห้า ก็พอขายของเสร็จพี่ก็จะถือ กีต้าร์ไปเรียนล่ะ

และตอนนั้นขนาดเราเอาเงินไปซื้อกีต้าร์ เรียนกีตาร์เสียเงินตั้งเยอะแล้วนะ เงินมันก็ยังเหลือ เก็บอีกเยอะ พี่ก็เลยตัดสินใจส่งน้องสาวอีกคนหนึ่งไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าทีนี้ปราฎกว่าน้องสาวไปเรียนก็ต้องไปเรียนตอนกลางคืน กลางวันก็ขายของเหมือนพี่ลีน่า ซึ่งพอต้องไปเรียนกลางคืนก็มีอยู่วันหนึ่งเค้าดันกลับบ้านดึกประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ ได้ ที่จริงถ้าเทียบกับสมัยนี้มันก็ยังไม่ได้ดึกอะไรมาก แต่สมัยก่อนมันไม่ใช่นิ นึกออกมั้ย พอน้องกลับบ้านดึกก็เป็นเรื่อง แม่ก็พาลมาโกรธพี่ ดุพี่ ว่าพี่ต่างๆ นานา แล้วก็เอาไม้มาไล่ตีเราใหญ่เลย

เราก็แบบ เอ๊ะ! เราไม่ได้ทำผิดทำไมแม่ต้องมาตีเรา เอาหวายที่เค้าใช้หาบน้ำตาลสดนั่น แหละ มาตีเรา มันจะเป็นหวายที่หาบหม้อ ไม่ใช่คานนะคะ มาเฆี่ยนเรานะเจ็บมากเลย เจ็บจนน้ำตาร่วง เราก็โมโหมาก คือจริงๆตอนนั้นแม่มาพาลโกรธพี่ที่น้องกลับบ้านดึกเพราะเราเป็นคนส่งน้องไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้า คืนนั้นพี่ก็ทะเลาะกับแม่ ด้วยความน้อยใจ พี่ก็เลยเอากีต้าร์ทุ่มทีวี ปรากฎว่าทีวีไม่แตกหรอก แต่กีต้าร์เราน่ะแตก(หัวเราะ) กีต้าร์เราพังแทนซะนี่ (หัวเราะ)

คืนนั้นแม่โกรธพี่มากก็เลยไล่พี่ออกจากบ้านคืนนั้นเลย แต่ว่าเราก็ไม่รู้จะไปไหนน่ะตอนนั้น ก็เลยต่อรองแม่ขอเป็นพรุ่งนี้ได้ไหม มันสี่ทุ่มกว่าแล้ว ไว้พรุ่งนี้เช้าตื่นมาก็จะไป เราก็ใจแข็งนะ เช้ามา ก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋ากับกีต้าร์แตกๆ นั้นแหละ ขึ้นรถทัวร์ไปจันทบุรีเลย ตอนนั้นเราอายุประมาณ 18 ปีแล้ว เราก็ขึ้นไปหาอดีตสามี “คุณวันชัย แสงพรศรีอรุณ” ที่พี่มีลูกกับเค้า2 คน เค้าไป ขายก๋วยเตี๋ยวอยู่เมืองจันทร์” (ยิ้มหวาน)

 

ดอกรักผลิบาน

พอมีโอกาสที่จะได้ย้อนวันวานในช่วงวัยแตกเนื้อสาว ความสุขที่เปี่ยมล้นในช่วงวัยนั้นที่ถูกเก็บซ่อนไว้ข้างในซะนานนม จนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว นาทีนี้กำลังจะถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับแววตาที่ส่องประกายแวววับและคำพูดที่พรั่งพรูออกมาไม่หยุดปาก จากผู้หญิงต้องสู้ ปากกัดตีนถีบคนนี้

“ตอนนั้นที่โดนไล่ออกจากบ้าน เราก็คิดถึงผู้ชายคนนี้เลย เพราะเค้าเองเค้าก็บอกว่ารักเรา และเราก็รักเค้า(หัวเราะ) คือจริงๆ เค้าก็เป็นคนดีทำมาหากินเค้าก็เป็นลูกคนจีน รักการค้าขาย เราก็คิดจะไปหาเค้าที่จันทบุรี เพราะเค้าก็ให้เบอร์โทรติดต่อกับเราไว้ เราก็ไปและก็บอกเค้าว่า

‘ฉัน ขอมาเป็นลูกจ้าง ขอให้มีบ้านให้ฉันอยู่ มีข้าวให้ฉันกินเท่านั้นพอ เงินเดือนไม่ต้องก็ได้ ฉันจะมาล้างจานให้’

ตอนนั้นเค้าก็รับเราไว้ให้เราอยู่กับเค้าด้วย

ถ้าจะว่าไป จริงๆ แล้วอดีตสามีของพี่คนนี้ เค้าเป็นเพื่อนสมัยที่พี่เรียนหนังสือและเราก็อยู่ในห้องเดียวกัน ตอนเด็กๆ เค้าก็จะบอกว่าเราเป็นแฟนกัน ประมาณ ป. 5 ได้ ก็เล่นๆ กันเหมือนกับว่าเพื่อนๆ ก็จะคอยแกล้ง คอยแซว เป็นแฟนกันน่ะ ซึ่งพี่เชื่อว่าสมัยเด็กๆ ทุกคนเคยผ่านความรู้สึกอะไรแบบนี้กันมาบ้างแหละ สมัยประถมฯหรือไม่ก็มัธยมฯ มันเป็นรักแบบวัยรุ่น รักแบบกิ๊กๆ ใสๆ ไร้เดียงสา ยังไม่ได้คิดอะไรมาก

แล้วตอนนั้นเด็กๆ พี่เป็นคนเรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่งด้วย เค้าก็ชอบมาลอกการบ้านที่บ้านพี่ลีน่า แม้แต่ช่วงที่พี่ต้องออกจากโรงเรียนแต่เราก็ยังได้เจอกันอยู่เรื่อยๆ เจอกันตลอดเวลา เล่าแบบนี้ดีกว่าตอนแรกเค้าอยู่กรุงเทพฯ อยู่ในตลาดวรจักรเหมือนกัน บ้านเราอยู่ใกล้กันมากเลย คือตัวเค้าเองเกิดที่ตลาดวรจักร พี่เองก็เกิดที่ตลาดวรจักร พี่ก็ขายของอยู่ในตลาด บ้านแม่เค้าก็อยู่ในตลาด ก็ได้เห็นหน้าคุยกันทุกวัน โรงเรียนพระพิเรนทร์ก็อยู่ใกล้ๆ ตลาดวรจักร สมัยนั้นเรียนแค่ครึ่งวัน เลิกเรียนปุ๊บ เค้าก็จะมาบ้านพี่ เพราะบ้านพี่ขายของชำด้วย ก็มีขายบุหรี่อะไรพวกเนี่ย เค้าก็จะมาขอบุหรี่เรา เพราะเค้าสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ (หัวเราะ) สมัยนู้นน่ะ อย่าไปคิดอะไรมาก เราสองคนก็เลยสนิทกันมาเรื่อยๆ

คือมันเป็นความผูกพันมาจากความเป็นเพื่อน พอโตมามันก็เลยกลายเป็นว่าเราดันมาชอบกันจริงๆ แล้วที่บ้านพี่ก็รู้ว่าเค้าเองก็มาชอบพี่ แต่เราก็ยังเด็กอยู่ เค้าก็ไม่ใช่ว่าจะสนับสนุน ให้มีแฟนอะไรนะ ก็ให้คุยกันได้คือคบกันได้แต่ต้องอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ แต่พี่เองก็ยังแอบไปดูหนังกับเค้าไปที่โรงหนังแคปปิตอลสองคนไม่ได้บอกใคร แล้วพอกลับมาพ่อก็ตี แม่ก็ตี เพราะเราไม่ได้ขออนุญาต คือเรากลัวว่าถ้าขอแล้วเค้าจะไม่ให้ไปก็เลยแอบไปเลย ถูกตีซะอ่วมเลย แต่ว่าก็ไม่เข็ดนะ (หัวเราะร่วน) ก็ยังจะตามไปดูหนังกับเค้าตลอด ด้วยความที่เราสนิทกับเค้า และเราเองก็ไว้ใจเค้าด้วยว่าเค้าเองก็เป็นสุภาพบุรุษ พอมีหนังที่อยากไปดูก็ไปดูเลย (ยิ้มหวาน)

 

รักแรก...แรกรัก

“ช่วงนี้ที่เราเริ่มเป็นแฟนกันใหม่ๆ เค้าก็ออกจากโรงเรียนมาเป็นลูกจ้างร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและก็มาทำเป็นช่างไฟอยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นเราก็จิ๊จ๊ะจี๋จ๋าตามประสาวัยรุ่นทั่วๆไปเลย อย่างวัดสระเกศมีงานประจำปี งานภูเขาทองน่ะ เค้าก็จะมารับเราพาเราไปเที่ยว ที่จำได้แม่นๆเลย คือเค้าจะพาพี่ไปนั่งชิงช้าสวรรค์กันสองคน และเค้าก็จะคอยป้อนขนมป้อนลูกเกดที่พี่ชอบให้กิน จะคอยเอาใจเราตลอด ตอนนั้นเราก็แบบ อุ้ย! ฉันมีความสุขจังเลย (ยิ้มหน้าบาน) แค่นี้สำหรับเรามันก็โรแมนติกแล้วล่ะ (หัวเราะเสียงสดใส)

ช่วงที่เป็นวัยรุ่นตอนนั้นน่ะ ก็ไปดูหนังที่โรงหนังแคปปิตอล เมื่อก่อนแถวคลองถมจะมีโรงหนังแคปปิตอล เราก็ไปดูหนังด้วยกัน หรือไม่เค้าก็พาพี่ไปเที่ยวสมุทรปราการ ไปนั่งสามล้อ ถีบด้วยกัน(หัวเราะ) ไปเที่ยวปากน้ำ ไปเที่ยวซาฟารีเวิลด์ และเค้าก็เป็นคนเอาใจเราเก่งมาก เก่งจริงๆ มันก็เลยทำให้เราก็ไม่มองใครเลย และก็ไม่คิดจะมองใครอีก อีกอย่างหนึ่งเพราะว่าพี่เป็นลูกคนจีน ลูกคนจีนต้องแบบว่ารักเดียว ใจเดียว และก็ต้องซื่อสัตย์ต่อสามี ต่อคนที่เป็นแฟน พี่ก็ซื่อสัตย์ต่อเค้ามากไม่สนใจผู้ชายคนไหนอีกเลย”

ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังพัฒนาคืบหน้าไปได้สวยแต่ก็มันก็มีเหตุให้ต้องแยกจากกันอีกจนได้ เมื่อฝ่ายชายอยากมีอนาคตที่ดีกว่าการเป็นแค่ช่างไฟฟ้า จึงหันไปร่วมหุ้นทำพลอยกับพี่เขยที่จันทบุรีแทน

“ตอนนั้นเค้าอายุประมาณ 17 ปีได้มั้ง แล้วพี่เขยของเค้าก็ทำพลอยอยู่ที่จันทบุรี ที่นี่เค้าก็เลยอยากที่จะไปทำพลอยร่วมกับพี่เขยของเค้า เพราะเค้าอยากจะมีเงิน มีอนาคตที่ดี ก็เลยต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นแทน แต่ว่าพอไปอยู่ที่จันทบุรีจริงๆ แล้วเค้ากลับทำไม่ได้ เพราะว่าเค้าดันเป็นไข้ป่าเป็นไข้มาเลเซียเข้าซะก่อน คือทำพลอยก็ต้องเข้าไปขุดพลอยในป่า แต่พอเอาเข้าจริงเค้าดันมาป่วยหนัก ก็เลยออกมาอยู่ที่ตัวเมือง แล้วก็หันมาขายก๋วยเตี๋ยวแทน

ก็เป็นช่วงนี้นี่แหละที่เราห่างหายจากกันไปนานอยู่เหมือนกัน ประมาณปีสองปีได้ เพราะเค้าเองก็ไปทุ่มเทกับการค้าขาย ขายก๋วยเตี๋ยว แล้วพี่ลีน่าก็เองก็ต้องขายน้ำตาลสด ขายน้ำเฉาก๊วย ขายน้ำวุ้น น้ำมะพร้าวที่เราทำมาสิบกว่าอย่าง เราก็ไม่มีเวลาไม่มีวันหยุดที่จะมาเจอกันได้เลย มีแค่เบอร์โทร. ติดต่อ ที่ได้แต่โทร.คุยกันบ้างก็แค่นั้นเอง

แล้วก็อย่างที่พี่เล่าให้ฟังไปเมื่อกี้นี่แหละ พอพี่ทะเลาะกับแม่โดนแม่ไล่ออกจากบ้าน คนแรกที่เรานึกถึงก็คือเค้า เราก็เลยตรงดิ่งที่จะไปหาเค้าทันทีเลย และเราเองก็ไม่ได้มีทาง เลือกอื่นด้วย มันก็ไม่รู้ว่าจะหันไปพึ่งใครแล้ว เข้าใจอารมณ์ของคนที่ไม่มีที่จะไปมั้ย

ตอนนั้นที่เราไปอยู่กับเค้า เค้าก็ให้เราไปล้างจาน เพราะเค้าทำอาชีพเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น ขายเฉพาะช่วงเย็นๆ ถึง 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม ตอนนั้นคืนหนึ่งก็ได้วันละ ประมาณ 400 ถึง 500 บาท คือช่วงนั้นก็ยังเรียกว่าเราเองก็ไปแต่ตัว เค้าเองก็ยังฐานะไม่ค่อยดี เรียกง่ายๆ ว่ายังจนอยู่ด้วยกันทั้งคู่แหละ แต่ทำยังไงได้ เราก็ต้องพึ่งพาเค้า เค้าเองก็ดีกับเรามาก ดีมากจริงๆ

ตอนแรกที่ตัดสินใจไปขออยู่กับเค้า เราก็ไม่เคยคิดเอะใจ หรือว่ากลัวว่าจะอยู่กับเค้า ไม่ได้เลยสักนิด ถึงจะรู้ว่าต้องปากกัดตีนถีบ พอไปถึงเราก็ช่วงนั้นขยันมากเลย ช่วยเค้าทำงานทุกอย่าง เหนื่อยแต่ก็ทน เพราะมันมีความรัก ความเห็นใจ และก็อยากที่จะช่วยเหลือกันและกัน แล้วตอนที่พี่ไปอยู่กับสามีพี่ช่วงแรกๆไปอยู่ที่นี้หมายถึงไปขออาศัยอยู่ที่บ้านเค้า ไปขอข้าว เค้ากินเท่านั้นน่ะ ครอบครัวเค้าก็ไม่ไดัรังเกียจอะไรในตัวพี่ เราก็เลยอยู่ที่นั่นได้ (ยิ้มหวาน)

แต่ว่าผู้หญิงกับผู้ชายพอได้มาอยู่ใกล้กันมันก็เหมือนน้ำมันกับไฟน่ะค่ะ (หัวเราะร่า แววตาเป็นประกาย) แล้วเราสองคนก็มีความรู้สึกดีๆ มีความรักให้แก่กันและกันด้วย อยู่ที่จันทบุรี ได้ไม่นาน พี่ก็ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับเค้า ในฐานะสามี -ภรรยา ซึ่งเป็นชีวิตรักที่ทุกวันนี้พี่เรียกมันว่ามัน เป็น 16 ปีแห่งความหลัง ทั้งรัก ทั้งชัง ทั้งหวานและข่มขื่น (หัวเราะร่วน) อย่างกับเพลง 16 ปี แห่งความหลัง ของ “คุณสุรพล สมบัติเจริญ” เลย ชีวิตพี่ ...อย่างละครน้ำเน่าๆ ที่เค้าว่าเน่ากันนั้นน่ะ ยังเทียบไม่ได้กับชีวิตของพี่ (หัวเราะ) จริงๆ อันนี้พี่พูดจริงๆ ถ้าอยากรู้ว่าชีวิตพี่มันจะเน่าได้ขนาดไหน ลองติดตามอ่านแล้วจะรู้ค่ะ” (ยิ้มหวาน)

แหม! เจ้าตัวเล่นตบท้ายเรื่องราวความรักของเธอไว้ซะน่าตามติดซะขนาดนี้ ฉบับหน้าพลาดไม่ได้เลยนะคะ เราจะเปิดโปงความรักหวานหยดของสามี-ภรรยาคู่นี้ ในช่วงข้าวใหม่ปลามันกับเรื่องราวที่แสนจะทรหดอดทนกับการกัดก้อนเกลือกิน !!!

ตอนที่ 3

กัดก้อนเกลือกิน

ทุกๆก้าวย่าง ทุกๆช่วงจังหวะของชีวิต หากมีความรักเป็นตัวนำพาต่อให้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆหนักหนาสาหัสขนาดไหนใจก็ยังมีเรียวมีแรงที่จะก้าวเดินต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่ต้องเผชิญเลยสักครั้ง

 

 

ก็เหมือนกับชีวิตของ “ลีน่า” ที่แม้วันนี้จะมีแค่ห้องแคบๆไว้เป็นที่ซุกหัวนอน แต่ก็อบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคนที่เธอรักยืนอยู่เคียงข้าง

“ชีวิตพี่ช่วงที่ไปอยู่จันทบุรีใหม่ๆยากจนมากนะ แต่ก็มีความสุขมากเลย เพราะมันมีความรักกับการใช้ชีวิตคู่เกิดขึ้นกับอดีตสามีของพี่ ถามว่าพี่ถูกใจอะไรในตัวเค้า พี่ถูกใจที่เค้าเป็นคนใจเย็น แต่ว่าเราเป็นคนใจร้อน มันก็ต้องหาคนที่จะมาทำให้เราเย็นลง เค้าเป็นคนใจเย็นและก็เอาใจเก่ง คอยยอมเราตลอดไงคะ แต่ว่าข้อไม่ดีเค้าก็มีน่ะ คือชอบเล่นการพนัน และเค้าก็เป็นคนเจ้าชู้ เพราะว่าเป็นคนรูปหล่อมาก (เสียงสูง)

แต่ว่ารวมๆแล้ว เค้าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดที่ตอนนั้นตัวพี่จะรับไม่ได้ เค้าออกจะเป็นคนดีขยันทำมาหากิน ไม่ดื่มสุราหรือว่าของมึนเมาที่จะทำให้เรารู้สึกไม่ดี แต่ว่าช่วงนั้นก็มีผู้หญิงมาชอบเค้าเยอะมากเหมือนกัน (รากเสียงยาว) เพราะเค้าหล่อ เหมือนพระเอกฮ่องกงเลย (นั่งยืดตัวตรงด้วยความภาคภูมิใจ) อย่างมีอยู่วันหนึ่งตอนที่ขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ก็มีผู้หญิงมาถามหาเค้ากับพี่ถึงที่ร้าน คือตัวสามีพี่เองตอนนั้นเค้าไปบอกคนอื่นว่าพี่เป็นน้องสาวของเค้าเฉยๆ ไม่ได้อะไร”

มีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีคนมาหา แล้วเค้ามาเดินมาถามเรา

“พี่ชายเธอไปไหนล่ะ ฉันเป็นแฟนของพี่ชายเธอ จะนัดเค้าไปนอน” (หัวเราะร่วน)

“คือเค้าเดินมาพูดต่อหน้าเราเลยน่ะ ทีนี้เราเห็นท่าทีของผู้หญิงคนนี้ เราก็ไม่โกรธไม่อะไรนะ ก็ทำเป็น แกล้งโง่ไปว่าเราไม่รู้ (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นเรารู้สึกว่าตัวเองยังเด็กมาก และก็รักอดีตสามีคนนี้มากด้วย และเค้าก็ไม่เคยทำตัวเหลวไหลอะไรกับเรา ออกจะดูแลเทคแคร์เราเป็นอย่างดีด้วย”

“ในที่สุดพี่ไปอยู่จันทร์บุรีกับเค้าได้ 3 เดือน เราก็ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน 3 เดือนเองน่ะ (หัวเราะแบบอายๆ) มันอาจจะเร็วมาก แต่ว่าผู้หญิงกับผู้ชายน่ะก็เหมือนน้ำมันกับไฟ พอได้อยู่ใกล้ชิดกันมันก็... แต่เค้าขอพี่ก่อนน่ะ เค้าไม่ได้ข่มขืนพี่ เค้าพูดขอเราดีๆว่าเค้าขอร่วมหลับ นอนกับเราจะได้ไหม เพราะว่าอยากจะมีเพศสัมพันธ์กับเรา เราก็รักเค้า เค้าก็รักเรา พี่ก็เลยยอมตกเป็นของเค้าก็แค่นั้นเอง” (ยิ้มแบบอายๆ)

“แล้วสามีพี่เก่งเรื่องเซ็กส์มาก (หัวเราะแบบเขินๆแววตาสดใส) เค้าเก่งเรื่องบนเตียงจริงๆเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกันนะ จะว่าไปแล้วเนี่ย (หัวเราะหน้าแดง) เสร็จแล้วนี่พี่เขยเค้าคือตอนนั้นเรายังอาศัยบ้านพี่เขยเค้าอยู่ เค้ารู้ว่าเราสองคนมีอะไรกัน คบกันไปถึงไหนต่อไหน เค้าก็เลยบอกให้เราไปจดทะเบียนสมรส อุ้ย! ครอบครัวเค้าสนับสนุนหมดเลย

ตอนนั้นพี่อายุยังไม่ถึง 20 ยังจดทะเบียนสมรสไม่ได้ แต่กฎหมายเขียนไว้ว่า ถ้ากรณีไม่ถึง 20 แต่ถ้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยินยอมก็สามารถที่จะจดทะเบียนได้ ฝ่ายเค้าน่ะยินยอมและก็พาที่จะไปจดทะเบียนกันเลย แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้จด เพราะฝ่ายหญิงคือพี่ไม่มีผู้ใหญ่มาเซ็นต์ยินยอม พี่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังถือเป็นผู้เยาว์อยู่เลย ก็เลยกลายเป็นว่าสามีพี่เค้าก็ต้องพาพี่ลีน่ากลับมาหาแม่พี่ เพื่อมาขอขมา และก็จะได้จดทะเบียนสมรสกันได้ วันนั้นก็ขึ้นรถทัวร์จากจันทบุรีเข้ากรุงเทพฯเลย”

“พอมาถึงปรากฎว่าพอมาขอขมาแล้วแม่พี่ไม่ยอมยกโทษให้ เพราะสามีพี่เค้าเอาเงินให้ 2,000 บาท แม่พี่ก็ด่าใส่กลับไปใหญ่เลย”

“ลูกสาวชั้นไม่ได้มีค่าแค่เงิน 2,000 บาท” (หัวเราะ)

“แม่พี่โกรธมาก และก็ห้ามไม่ให้เราขึ้นไปเมืองจันทร์อีกแล้ว คือช่วงนั้นท่านคงโกรธเราสองคนกันมาก ตอนนั้นที่บ้านก็จะขายเฉาก๊วย ขายน้ำตาลสด พี่ก็กำลังขูดเฉาก๊วยเป็นเส้นๆ สามีพี่ก็นั่งร้องไห้อยู่ใกล้ๆ คือเค้าก็อยากจะให้เรากลับไปอยู่กับเค้าไง และเราเองตอนนั้นก็คงรัก เค้ามากด้วยน่ะ เราก็เลยไปบอกแม่ว่าฉันจะไปกลับเค้า (หัวเราะ) แล้วพี่ก็ทิ้งเฉาก๊วยแล้วก็เดินไปกับเค้าเลย ( หัวเราะ) คือตอนนี้เรานั่งหัวเราะได้นะ แต่ว่า ณ เวลานั้นเราหัวเราะไม่ออกเลย เพราะว่าใจหนึ่งเราก็เป็นห่วงแม่ รักแม่ แต่ว่าอีกใจหนึ่งเราก็รักสามีของเรามาก และเราก็สงสารเค้าด้วย พอมาโดน แม่กรีดกั้น หัวใจเรามันสลายเลยนะ แต่ว่าสุดท้ายเราก็ทนเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเองไม่ไหว ก็เลยต้องพากันหนีมาและเราก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน โดยที่ไม่ได้แต่งงานอะไร” (ยิ้มหวาน)

ข้าวใหม่ปลามันแม้ในใจจะยังรู้สึกผิดจนต้องแอบร้องไห้อยู่หลายครั้งหลายครากับเหตุการณ์วันนั้น วัน ที่เธอตัดสินใจเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าหนีออกมากับสามีที่รักโดยที่ผู้เป็นแม่ เอ่ยปากคัดค้านเสียงดังลั่น เมื่อเลือกที่จะก้าวเดินออกมาแล้ว ก็จะก้าวเดินต่อไปให้ดีที่สุด ในเมื่อ ณ เวลานี้ เธอกำลังเริ่มต้นใช้ชีวิตที่เรียกว่าเป็นครอบครัวของเธอเองจริงจังสักที

“พอกลับมาอยู่ที่จันทบุรี คราวนี้จากเดิมเราอาศัยอยู่ในบ้านพี่เขย ที่นี้พอเราอยู่กัน เป็นครอบครัวของเราเอง เราก็เลยต้องย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้น มาอยู่บ้านเช่าหลังเล็กนิดเดียว ค่าเช่าเดือนละ 300 บาทเองนะ แถมยังไม่มีน้ำประปาใช้ เราต้องสาวน้ำขึ้นมาจากบ่อน้ำบาดาลนั่นแหละขึ้นมาใช้ เราก็ยังทนอยู่ด้วยกันได้ ทำมาหากินด้วยขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น คืนหนึ่งก็ได้กำไรวันละ 400- 500 บาทแค่นั้น ก็ขายอยู่ข้างถนนนั่นแหละ แล้วตอนนั้นสามีพี่ก็เป็นคนขยันมาก เป็นคนดีมากเลย คอยดูแลเรา ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด มีบางวันที่อยากพักเราก็ไปเล่นน้ำตกพลิ้วด้วยกัน คือถึงจะจนแต่เราก็มีความสุขนะ ขนาดพี่ต้องซ้อนมอเตอร์ไซด์ที่สามีพี่เป็นคนขับ หิ้วหม้อกระเทียมเจียว และก็ถือตระกร้าใส่ของหนักๆ ซ้อนท้ายออกมาจากบ้านทุกวัน เหนื่อยแสนเหนื่อยแต่เราก็ช่วยกันทำ”

“แถมมีอยู่วันหนึ่งรถมอเตอร์ไซด์คว่ำ พี่ถลอกปลอกเปิกหมดเลย เค้าก็ถลอกปลอกเปิกก็ยังทนทำอยู่ด้วยกัน หรือขนาดว่าบ้านที่อยู่เนี่ย พี่เจียวน้ำมันจนไฟจะไหม้ ชาวบ้านจะเอาไม้มาตีพี่ เค้าก็ไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรพี่เลยสักนิด คือเราก็ยังทนกันน่ะ (เสียงสูง) คือมันมีความสุขน่ะ กัดก้อนเกลือกินแต่เราก็มีความสุข ช่วงที่ออกมาอยู่ด้วยกันใหม่ๆ มันลำบากมาก แต่เรายังมีไฟด้วยไง ไฟของคนหนุ่มคนสาว แล้วพอพี่ไปอยู่ตรงนั้นแล้วพี่ก็ เฮ้อ! เราก็เป็นคนแบบอยู่นิ่งไม่ได้ ชอบพัฒนา ชอบคิด อยากจะทำนู่นทำนี่ เรามีร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ก็เลยเพิ่มเมนูอาหาร ด้วยการทำก๋วยเตี๋ยวหมูแดงขาย ทำก๋วยเตี๋ยวตำลึง เกี๊ยวหมูแดง หมูสับตำลึง วุ้นเส้นตำลึง อะไรพวกนี้ หลายอย่าง ปรากฎว่า อุ้ย! ขายดี ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้น ทีนี้เริ่มมีกำไรมากขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อยแหละ เราก็ได้ใจใหญ่เลย คราวนี้ก็มาแล้วก็คิดทำก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อย หมูเปื่อย ก๋วยเตี๋ยวเอ็นตุ๋นขึ้นมาอีก ก็ขายดีมาก จากกำไรวันละ 500 กลายเป็นวันละหมื่นแล้ว” (เสียงสูง ท่าทางตื่นเต้นดีใจ)

“ซึ่งช่วงนี้เองชีวิตก็มาถึงจุดเปลี่ยนกันอีกครั้ง เพราะว่าก๋วยเตี๋ยวขายดีไง อย่างที่บอก จากเดิมวันละ 400-500 กลายเป็นขายได้วันละหมื่นกว่า เพราะว่าเราขยันมาก เราเปิดขายตั้งแต่ 5 โมงเย็นขายถึง 6โมงเช้า พอ6 โมงเช้าก็ซื้อของในตลาดกลับบ้าน และก็กลับไปหมักหมูกว่าจะได้นอนก็ 10 โมงเช้า พอบ่ายสองก็ต้องตื่นเตรียมของเพื่อจะเอามาขายแล้ว ขยันมากช่วงนั้นเพราะว่ามันอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวพลังมันมีเยอะเหลือเกิน วันหนึ่งนอน 2-3 ชั่วโมงก็ไม่เป็นไรทนได้ คิดดูสิขายดีถึงขนาดมีเงินฝากธนาคารทุกวัน วันละ 5000 บาท (หัวเราะ) เงินสดๆ น่ะ (ทำตาลุกวาว) แล้วเราก็ได้กำไรวันละ 5000 ทุกวันเลย ทั้งที่ก็ขายอยู่ข้างถนนเราก็เลยมีเงิน มาซื้อที่ดิน 200 ตารางวา ซื้อบ้านในตลาดเลย 4 แสนกว่า คือเซ้งมาเลย อู้ย! ตอนนู้น 20 กว่าปีก่อน 4 แสนบาทก็เท่ากับ 40 ล้านน่ะ”

“ชีวิตมันเปลี่ยนไปเลย จากเดิมที่เราอยู่ห้องเช่าเดือนละ 300 บาท ทีนี้พอมีเงินปุ๊บทุกอย่างในชีวิตมันเลยดูหรูหราไปหมด (หัวเราะร่วน) จำได้ว่าตอนนั้นพี่ก็ตั้งท้องลูกคนแรกแล้วด้วย เพราะหลังจากก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน จนมีบ้านเป็นของตัวเอง มีเงินเก็บประมาณ 4- 5 ล้านบาท เพราะว่ากิจการร้านก๋วยเตี๋ยวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ กำไรดีมาก

พี่กับสามีก็เลยตัดสินใจอยากจะมีลูกสักคนหนึ่ง ณ ตอนนั้น เพราะว่าเราก็พร้อมที่จะเป็นแม่คนพ่อคนกันแล้ว พี่ก็เลยเลิกกินยาคุม น่าจะอายุประมาณ 24 ปีแล้วน่ะ ตอนที่ตั้งท้องลูกชายคนแรก หักอกเมียหลวง หลายคนบอกว่าครอบครัวจะสมบรูณ์แบบก็ต่อเมื่อพ่อ แม่ ลูก อยู่ด้วยกัน อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา และ ‘ลูก’ ก็จะเป็นดั่งโซ่ทองคล้องใจที่จะทำให้สานสัมพันธ์ ของสามี-ภรรยากัน แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น”

ทว่ากับครอบครัวของ “ลีน่า” กลับไม่เป็นเช่นนั้น ในเมื่อเงินทองที่สู้อุตส่าห์กัดก้อนเกลือกินและหามาได้อย่างมากมาย กำลังจะกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้ครอบครัวร้าวฉาน

“จริงๆ ตอนช่วงที่กัดก้อนเกลือกินเป็นช่วงเวลาที่พี่รู้สึกโอ.เค กับมันมากเลยนะ คือถึงจะจนแต่เราก็มีความสุขนะ แต่พอรวยมีเงินเป็นล้านๆ สิบล้าน ร้อยล้าน พี่กลับไม่มีความสุขเลยชีวิต เพราะอะไรรู้มั้ยค่ะ ก็เพราะเงินมันมาทำให้ชีวิตครอบครัวของพี่ล้มเหลวค่ะ”

“จุดเริ่มต้นของความล้มเหลวมันเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงพี่ทำร้านก๋วยเตี๋ยวรุ่งเรื่องอยู่นั่นแหละ คือ ก๋วยเตี๋ยวขายดี เราก็ต้องมีลูกจ้างเพิ่มเข้ามาจากเราทำ 2 คนกลายเป็น 7 ,8, 9, 10 ,11 ... คน คือเราก็พอมีเงินเก็บเยอะหน่อยแล้วใช่มั้ย ที่นี้ลูกจ้างที่จันทบุรีหายากมาก เราก็เลยต้องมาหาที่กรุงเทพ เพราะเมืองจันทร์มันเป็นเมืองรวยไง คนก็ทำเพชร ทำพลอยกันหมด สามีก็เดินทางมาหาคนที่กรุงเทพ ที่หัวลำโพงก็มีสำนักงานจัดหางาน แล้วเราก็เสียค่าหัวให้เค้าคนละพันห้า แล้วเราก็เอาขึ้นไปทำ แล้วสามีก็ดันมาติดผู้หญิง ผู้หญิงที่เป็นบัสโฮสเตส ผู้หญิงที่คอยเสิร์ฟน้ำอยู่บนรถทัวร์ คราวนี้พอติดก็เค้าก็เอามาเป็นเมียน้อย และก็แอบคบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอยู่พักหนึ่ง พอเราก็รู้เค้าก็มาขอว่าตัวสามีพี่นะ มาขอแบบว่า

“เอ่อ! ขอให้ผู้หญิงคนนี้มาอยู่บ้านเดียวกันได้ไหม จะได้ไม่ต้องไปหาลูกจ้างที่กรุงเทพฯ เข้าๆออกๆ เสีย ค่าหัว คือเหมือนเต็กกอมีเมียตั้ง 11 คน”

“ที่แรกที่รู้เราก็แบบเจ็บมันเจ็บตรงนี้ (เอามือกุมไว้ที่หัวใจ) โอ้ย! มันเจ็บเหมือนมีคน มาบีบหัวใจเรา เจ็บเหมือนเราจะขาดใจตายน่ะ นึกสภาพของพี่ดูสิว่าตอนนั้น หัวอกกลัดหนองขนาดไหน แต่จะให้พี่ลีน่าทำยังไงล่ะ ก็ในเมื่อสามีพี่เค้ามาขอพี่ตรงๆ เค้ามาบอกว่า จะเอาผู้หญิงคนนี้มานอนอยู่ในบ้านจะได้ไม่ต้องไปเสียงานจ้างลูกจ้าง เพราะเราเองก็ทำไม่ไหว แล้วเดือนหนึ่งๆหมดค่าลูกจ้าง โอ้โห้ ! บางทีเอามาค่าหัวหัวละพันห้าเอามาห้าคน ค่ารถทัวร์ค่าอะไรก็เป็นหมื่นนะ (เสียงสูง) บางคนอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ออกแล้ว เราก็เสียเวลาเสียเงินหาใหม่อีก เค้าก็เลยมาเปิดอกบอกกับเราตรงๆ เราก็โอ.เค. แล้วสามีพี่ก็พาเข้ามาอยู่ด้วยกันเลย คือด้วยความที่เรารักสามีมาก เราก็ตามใจเค้า แต่พอเอาเข้าจริงๆ มามันไม่ใช่อย่างนั้น” (น้ำเสียงเศร้าๆ)

“มันมีปัญหาตรงที่ว่าเวลานอน ไอ้ผู้หญิงคนนั้นมันก็ของใหม่แหละนะ เราก็ของเก่า สันดานผู้ชายมันก็เห่อของใหม่ คือเรานอนห้องเดียวกัน อยู่ด้วยกัน 3 คน แต่เวลาจะมีเพศสัมพันธ์สามีเราเค้าก็ทำให้แต่ผู้หญิงคนนั้น เราก็นอนอยู่ด้วยก็เห็นตำตา เราก็มีเลือดเนื้อ เราก็ทนไม่ได้ ก็ได้แต่ร้องไห้และก็วิ่งหนีออกจากห้องนอน คือเค้าไม่ยอมทำให้เราบ้างนะ และเราก็ต้องทนอยู่ในสถาพแบบนี้นานเป็นเดือนๆ และสุดท้ายเราก็ตัดสินใจไปบอกเค้า”

“คุณออกไปเถอะทั้งคู่เลย ออกไปเถอะ ฉันทนไม่ไหวแล้ว ไปซะเถอะ ฉันทนไม่ได้ ไม่งั้นฉันคงฆ่าตัวตายแน่ๆ เลย”

“พี่ลีน่าก็ไปพูดกับเค้าสองคนตรงๆ ช่วงนั้นจำได้ว่าสภาพตัวเองแย่มากจริงๆ น่ะ เอาแต่ คร่ำครวญเสียใจ ร้องไห้ๆๆๆ เหมือนคนบ้า คือเรารู้สึกเจ็บปวดมาก เจ็บปวดมากทนไม่ไหวจริงๆ สามีพี่เค้าเก่งมากเรื่องเซ็กส์ แต่เค้าไม่ยอมทำให้เรา คือพี่เองตอนนั้นก็เพิ่งจะมีน้องได้ใหม่ๆ เค้าก็มาขอเรามีเมียน้อย มันเจ็บมาก รู้สึกเจ็บปวด ทนทุกข์ทั้งวันเลยเหมือนใจจะขาด ร้องไห้เหมือนกับคนเสียสติ เหมือนกับคนบ้า กินอะไรไม่ลงเลย

จริงๆ ตอนนั้น แค่จะกลืนน้ำลงคอยังกลืนยากเลย พอเค้าเห็นสภาพของเราแย่จริงๆ เค้าก็ยอมออกไป ออกไปทั้งคู่ คือตัวผู้ชายเองก็ออก ไปเช่าบ้านให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ แต่ว่าในที่สุดพอเค้าไม่มีจะกิน เค้าก็กลับมาหาเรา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เราขอให้เค้าเลิกกัน แต่ว่าเค้าไม่ยอมเลิก งั้นก็ให้ไปซะเถอะ เธอช่วยไปจากชีวิตเรา เค้าก็ไป พี่เป็นคนใจนักเลงมากเลยน่ะ เจ็บก็ได้ ฉันยอมเจ็บ แต่ฉันจะไม่ทนกับสภาพอะไรที่มันทำให้ตัว ตัวเองดูแย่น่ะ”

“อุ้ย! ตอนนั้นพี่มีความรับผิดชอบมากเลย เพราะว่าหนึ่งเรามีลูกยังเล็กเพิ่งจะได้ขวบหนึ่ง และเราก็ยังมีลูกจ้างอยู่ตั้ง 7 คน และเราก็มีร้านก๋วยเตี๋ยวที่เรายังต้องดูแลอีก พี่ก็ทำตัวให้เข้มแข็งและออกมาค้าขายทุกวัน เพราะเรารู้ว่าผู้ชายคนนี้เนี่ย ยังไงเค้าก็ต้องกลับมาถ้าเกิดไม่มีกิน เพราะมันเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งไง พอมันไม่มีกิน มันก็กลับมา เราจะไปบ้าจี๊ตามเค้าไม่ได้ไม่งั้นร้านเราจะเจ๋งเสียก่อน” (หัวเราะ)

“แล้วพอเค้ากลับมาขอใช้ชีวิตคู่อยู่กับพี่อีกครั้ง คือความดีเค้าก็มีเยอะนะที่ผ่านๆมา มันหลายอย่าง และตอนนั้นพี่ทำใจยอมรับกับสภาพที่มันเกิดขึ้นได้แล้วก็โอ.เค. ก็กลับมาใช้ชีวิติคู่ด้วยกันอีกครั้ง ก็ยังยอมรับเค้าได้ เพราะเค้าก็มาบอกกับเราว่าเค้าเลิกกับเมียน้อยคนนั้นแล้ว แต่จริงๆ แล้วยังไม่ได้เลิกกันไง แล้วเราก็ไม่รู้ ซึ่งปัจจุบันเมียคนนี้ของเค้า ก็มีลูกกับเค้า 2 คนนะ ซึ่งอุปสรรคตรงนี้มันก็เป็นมรสุมลูกแรกในการใช้ชีวิตครอบครัวของพี่ ซึ่งมันก็ทำให้พี่รู้สึกทุกข์หนักมาก แต่ก็เพราะความรักที่มันมีมากกว่าก็เลยทำให้เรายอมอภัยให้เค้าได้ แต่ว่าการให้อภัยกันครั้งนั้นมันก็กลายเป็นมีดกลับมาทิ่มแทงตัวพี่เองอยู่ดี และมันก็เป็นชนวนเหตุที่ทำให้พี่ตัดสินใจหย่าขาดกับอดีตสามีพี่จริงๆ”

 

 

 

“ก็อย่างที่พี่บอกชีวิตนักการเมืองของพี่ล้มเหลวค่ะ ชีวิตครอบครัวของพี่ล้มเหลวค่ะ (หัวเราะร่วน) แต่มันก็เป็นบทเรียนที่ทำให้พี่เข้มแข็ง และก็แข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไงฉบับต่อๆไปก็ลองมาติดตามเรื่องราวชีวิตรักของพี่กันต่อนะคะ มาดูว่าผลลัพท์ของการที่เรารักสามีมากตามใจสามีตัวเองสุดท้ายจะช้ำใจมากน้อยแค่ไหนลองติดตามกัน”

 

⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 


โพสท์โดย: แฟง
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
84 VOTES (4/5 จาก 21 คน)
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
ชาวเน็ตฮือฮา! ขายที่ดินพร้อมบ้าน 200 ล้าน ติดวิวสภาสัปปายะสภาสถานทำไมจู่ๆ lกย์ 700 คนถึงพร้อมใจกัน "ฟ้องร้องแอป Grindr"แผ่นดินไหวทำเศียรพระพุทธเจ้าหักเขมรคือต้นกำเนิด วัฒนธรรมของการกิน 'สุนัข' ?จังหวัดเดียว ในภาคอิสานที่ไม่มีภูเขา?ซีอีโอ "ไบแนนซ์" ติดคุก 3 ปี ฐานฟอกเงินสวนปาล์มต้องเสียหาย เพราะความมักง่ายของคนหนุ่มเร่ขาย "ลาบูบู้" กลางสี่แยก..ทำเอาหลายคนแห่ถามพิกัดซูเปอร์สตาร์ที่ไม่มีงานแสดง แต่เป็นเศรษฐีระดับพันล้าน
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
ชาวเน็ตฮือฮา! ขายที่ดินพร้อมบ้าน 200 ล้าน ติดวิวสภาสัปปายะสภาสถานจังหวัดเดียว ในภาคอิสานที่ไม่มีภูเขา?เที่ยวเมืองสงขลา รับประทานก๋วยเตี๋ยวหางหมูกินน้อยลง ออกกำลังกายอย่างหนัก แต่น้ำหนักไม่ลด เกิดอะไรขึ้น?
ตั้งกระทู้ใหม่