เพลงขับไม้บัณเฑาะว์
ขับไม้บัณเฑาะว์ เป็นเพลงทำนองของเก่าที่ใช้บรรเลงในวงขับไม้
และเป็นเพลงที่ใช้ขับกล่อมพระมหากษัตริย์ ในขณะทรงพระบรรทม
อัปโหลดเมื่อ 9 ม.ค. 2011 สำหรับเวอร์ชั่นนี้ได้นำเพลงอื่นๆ เข้ามาผสมแต่อรรถรสของเพลงเดิมไม่เสียหายไป
อัลบั้ม: เอกรงค์-รัตนโกสินทร์
โดย:กฤตยศ สุกษมภัทร์
ดนตรีไทย ลีลาเครื่องดนตรีไทย หมายถึงท่วงท่าหรือท่วงทำนองที่เครื่องดนตรีต่างๆได้บรรเลงออกมา สำหรับลีลาของเครื่องดนตรีไทยแต่ละเครื่องที่เล่นเป็นเพลงออกมา บ่งบอกถึงคุณลักษณะและพื้นฐานอารมณ์ที่จากตัวผู้เล่น
เนื่องมาจากลีลาหนทางของดนตรีไทยนั้นไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์ไว้ตายตัวเหมือนกับดนตรีตะวันตก หากแต่มาจากลีลาซึ่งผู้บรรเลงคิดแต่งออกมาในขณะเล่น เพราะฉะนั้นในการบรรเลงแต่ละครั้งจึงอาจมีทำนองไม่ซ้ำกัน แต่ยังมี ความไพเราะและความสอดคล้องกับเครื่องดนตรีอื่นๆอยู่
ประวัติความเป็นมาของวงขับไม้
วงขับไม้ถือได้ว่าเป็นวงดนตรีโบราณของไทยวงหนึ่งที่มีพัฒนาการมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จากการศึกษาก็ได้ค้นพบหลักฐานสำคัญทางโบราณคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับวงขับไม้อยู่บ้าง เช่น พบคำว่า “เสียงขับ” ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง พ.ศ. 1835 ด้านที่ 2และจากไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็นเรื่องราวที่พญาลิไทหรือพระมหาธรรมราชาที่ 1 ทรงบันทึกไว้เกี่ยวกับเรื่องการดนตรีในสมัยนั้น ที่มีลักษณะการบรรเลงเพื่อเฉลิมฉลองทางศาสนา โดยได้กล่าวถึงเครื่องดนตรีที่ใช้ในวงขับไม้คือ บัณเฑาะว์และซอสามสาย (คณะผู้ดำเนินงานโครงการดุริยางคศิลป์ นิสิตชั้นปีที่ 4 รุ่นที่ 11,2536: 12-14)
นอกจากนี้ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ (2522 : 19) ได้ทรงพระวินิจฉัยว่า วงขับไม้นี้เป็นวงต้นแบบร่วมกับวงบรรเลงพิณในการประสมวงแบบมโหรีของไทย โดยได้รับแบบอย่างมารจากขอมอีกชั้นหนึ่ง และในการศึกษารูปแบบวงมโหรีของคณะผู้ดำเนินงานโครงการดุริยางคศิลป์ นิสิตชั้นปีที่ 4 รุ่นที่ 11 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (236 : 16) พบว่า ไทยเริ่มมีรูปแบบของวงมโหรีที่ชัดเจนในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่เรียกกันว่า วงมโหรีเครื่องสี่ ดังนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่าวงขับไม้มีรูปแบบที่ชัดเจนแล้วตั้งตี่ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา
จากการศึกษาบทบาทของวงขับไม้ พบว่า เป็นวงดนตรีไทยอีกวงหนึ่งที่มีบทบาทเป็นอย่างมากต่อวิธีชีวิตของคนไทยมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชนชั้นสูงหรือชนชั้นปกครองในราชสำนัก โดยพบว่า ราชสำนักไทยมีความเชื่อถือว่า วงขับไม้นี้เป็นของสูงสำหรับกษัตริย์ และจะมีการบรรเลงได้ก็ต่อเมื่อมีงานสมโภชชั้นสูงเท่านั้น ได้แก่ สมโภชพระมหาเศวตฉัตร สมโภชขึ้นพระอู่ และสมโภชช้างเผือก นอกจากนี้ในบางสมัยวงขับไม้ได้เป็นเครื่องขับกล่อมพระบรรทมสำหรับพระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นสูง ดังปรากฏหลักฐานในบทละครเรื่องอิเหนา ตอนอุณากรรณประทับบรรทมในตำหนักสวนแห่งเมืองกาหลง ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ดังนี้
พระเอยพระยอดฟ้า พระสนิทนิทราอยู่บนที่
ทรงสดับขับไม้มโหรี ซอสีส่งเสียงจำเรียงราย
เชิญพระบรรทมสถาพร จะกล่าวกลอนถนอมกล่อมถวาย
ให้ไพเราะเสนอในสบาย พระฤาสายจงไสยาเอย
(มนตรี ตราโมท, 2503 : 1942)
จะเห็นได้ว่าวงขับไม้มีบทบาทเป็นอย่างมากในราชสำนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์ พิธีกรรมดังกล่าวล้วนได้รับอิทธิพลทางด้านความเชื่อของลัทธิศาสนาพราหมณ์แทบทั้งสิ้น ดังนั้น ในการศึกษาประวัติความเป็นมาของวงขับไม้จึงจำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับคติความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ ผู้วิจัยเห็นว่าคติความเชื่อดังกล่าวน่าจะเกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาของวงขับไม้
จากการศึกษาพบว่า ราชสำนักไทยได้รับเอาแบบอย่างด้านศิลปวัฒนธรรมและคติความเชื่อต่าง มาจากอินเดีย โดยผ่านทางชนชาติขอมอีกทอดหนึ่ง เห็นได้จากการที่สามัญชนได้ให้ความเคารพยกย่องกษัตริย์เป็นสมมติเทพหรือประดุจเทพเจ้าพระองค์หนึ่งที่ได้อวตารลงมา ดังเช่นกษัตริย์ไทยมักเฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี ซึ่งคำว่า “ราม” หรือ “รามา” นี้ก็เป็นชื่อกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่อินเดียถือว่าเป็นพระนารายณ์อวตารลงมาเพื่อปราบยุคเข็ญในโลก อีกทั้งถ้อยคำภาษาที่ใช้ก็เน้นภาษาบาลี สันสกฤต รวมทั้งภาษาขอม ซึ่งถือว่าเป็นภาษาที่สูงกว่าสามัญชน ซึ่งเป็นการแบ่งแยกกษัตริย์ออกจากสามัญชนโดยเด็ดขาด ลักษณะดังกล่าวนี้ ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียแทบทั้งสิ้น โดยรับมาในรูปของลัทธิศาสนา นั้นคือ ศาสนาพราหมณ์ โดยมีพราหมณ์เป็นผู้นำศาสนา ซึ่งในราชสำนักไทยยกย่องพวกพราหมณ์ว่าเป็นผู้มีความรู้สูง พราหมณ์จึงมักได้เข้ารับราชการในสำนักตลอดมา โดยมีตำแหน่งเป็นปุโรหิตบ้าง เป็นราชครูบ้าง พราหมณ์พวกนี้นอกจากจะสอนศิลปะวิทยาการด้านอักษรศาสตร์แล้ว ยังเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ตามคติความเชื่อทางศาสนาในราชสำนักอีกด้วย
ในศาสนาพราหมณ์มีพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของศาสนาและเป็นที่ยืดถือปฏิบัติกันมาเป็นเวลาช้านานของผู้ที่เลื่อมใสในศาสนา คือ การสวดบูชาเทพเจ้า โดยมีความเชื่อว่า การสร้างสรรค์การเปล่งเสียงในการสวดพระเวทที่ใช้มีลีลาเสียงที่ไพเราะ มีความละเมียดละไมแห่งน้ำเสียงอันลึกซึ้ง นับเป็นเจตนารมณ์แห่งการครุ่นคิดของผู้รจนาคัมภีร์พระเวทที่ได้คิดค้นขึ้น เป็นการแสดงออกในทางจิตใจแห่งความเป็นมนุษย์ รวมทั้งความงามของกาพย์กลอนนั้นๆ อีกด้วย อีกทั้งแสดงให้เห็นถึงความปิติหลงใหลในความน่าอภิรมย์ และความลี้ลับของธรรมชาติ ได้มีความเชื่อว่า พระเจ้าทั้งหลายนั้นเป็นสาเหตุแห่งชาติภูมิและพลังทุกชนิดของธรรมชาติทั้งมวล การรู้สึกถึงความลี้ลับมหัศจรรย์เช่นนี้ ก่อให้เกิดความหมายของตนเองมากขึ้น ดังนั้น ในการที่จะให้เกิดสิริมงคลต่อชีวิตของตนเองได้นั้น ก็จำเป็นต้องสาธยายร่ายมนตร์ วิงวอนขอพรต่อพระเป็นเจ้า เพื่อป้องกันแก้ไขภยันตรายแก่ตนเองหรือแก่มหาชนได้ (อุดม อรุณรัตน์, 2529 : 24)
จากแนวความเชื่อดังกล่าว ทำให้เกิดบทสวดและทำนองสอดในคัมภีร์ต่างๆ มากมาย
นอกจากคติความเชื่อในเรื่องการสวดบูชาเทพเจ้าแล้ว ในลัทธิศาสนาพราหมณ์ยังมีคติความเชื่ออีกอย่างหนึ่งคือ การบูชาเทพเจ้าด้วยเสียงดนตรี ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งในพิธีกรรมทางศาสนา ตามคติที่ว่า การบูชาด้วยเสียงของดน...ั้น ย่อมมีความดื่มด่ำ และการทำให้จิตแน่วแน่อยู่กับความสุขนั้น ณ ที่ที่มีความหลั่งไหลแห่งเสียง มีเกิดจากเครื่องดนตรีที่มีสายติดต่อกันและเป็นระยะยาวนั้น ก็จะพ้นจากอารมณ์แห่งประชาอื่นๆ และจมดิ่งแนบแน่นอยู่ ณ สิ่งที่เป็นอันติมะ และพ้นจากรูปฟอร์มแห่งพระพรหม
นอกจากนี้ในพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ยังมีเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบในพิธีอีกหลายชนิดที่เรียกว่า เครื่องประโคม อาทิ แตร สังข์ และบัณเฑาะว์ ซึ่งทั้งหมดนี้ในศาสนาพราหมณ์ถือว่าเป็นเครื่องประโคมชั้นสูง และมีความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการที่มีระบบความเชื่อกำกับอยู่ ดังปรากฏเป็นนิทานปรัมปราคติและประติมากรรมต่างๆ ของลัทธิศาสนาพราหมณ์ ดังเช่น บัณเฑาะว์ ถือว่าเป็นเครื่องมือของพระศิวะ ดังประติมากรรมรูป “นาฎราช” ของพระศิวะ โดยพระหัตถ์ขวาข้างหนึ่งได้ถือบัณเฑาะว์ ซึ่งอินเดียถือว่า บัณเฑาะว์เป็นจังหวะลีลาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการเนรมิตสร้างสรรค์ (Symbolizing Rhythm of Creation) (สุจิตต์ วงษ์เทศ, 2532 : 15)
จากคติความเชื่อต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ผู้วิจัยพบว่าน่าจะเป็นต้นเค้าแห่งแนวความคิดของสังคีตาจารย์ ในการหลอมรวมและประสานประโยชน์ระหว่างคติความเชื่อทางศาสนากับเรื่องของดนตรี จนกลายมาเป็นวงขับไม้ ซึ่งถือว่าเป็นวงดนตรีชั้นสูงแห่งราชสำนัก และให้มีบทบาทโดยตรงในการบรรเลงประกอบในพิธีกรรมที่สำคัญต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ด้วยคุณลักษณะ 3 ประการ ดังนี้
1. มีทำนองขับกล่อมที่เป็นแบบฉบับเฉพาะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนการสวดบูชาเทพเจ้าตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์
2. มีซอสามสายเป็นเครื่องทำลำนำ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนการบูชาเทพเจ้าด้วยเสียงดนตรีจากเครื่องดนตรีประเภทที่มีสาย
3. มีบัณเฑาะว์เป็นเครื่องทำจังหวะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนการเนรมิตสร้างสรรค์ของเทพเจ้า (พระอิศวร) ตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์