เล่าขานตำนานไทย (นาฏศิลป์ไทยในอาณาจักรสุโขทัย)
ที่มาภาพ : http://www.thaigoodview.com/node/16931
อาณาจักร์สุโขทัย (พ.ศ.1792-2006)
อาณาจักรสุโขทัย หรือ รัฐสุโขทัย (อังกฤษ: Kingdomof Sukhothai) เป็นอาณาจักร หรือรัฐในอดีตรัฐหนึ่งตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำยม เป็นชุมชนโบราณมาตั้งแต่ยุคเหล็กตอนปลายจนกระทั่งสถาปนาขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในฐานะสถานีการค้าของรัฐละโว้ หลังจากนั้นราวปี 1800 พ่อขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมือง ได้ร่วมกันกระทำการยึดอำนาจจากขอมสบาดโขลญลำพง ซึ่งทำการเป็นผลสำเร็จและได้สถาปนาเอกราชให้สุโขทัยเป็นรัฐอิสระ และมีความเจริญรุ่งเรืองตามลำดับและเพิ่มถึงขีดสุดในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ก่อนจะค่อยๆตกต่ำ และประสบปัญหาทั้งจากปัญหาภายนอกและภายในจนต่อมาถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาไปในที่สุด
ที่มาภาพ : http://www.sukhothaiphoto.com/forum/viewthread.php?tid=1348
ตั้งแต่มีการค้นพบว่ามีการจดบันทึก เรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ในยุคเริ่มแรกของการจดบันทึกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏคือ ในสมัยสุโขทัย เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชอาณาจักรสุโขทัย ได้ทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น และทรงจารึกวิถีชีวิตชาวสุโขทัยลงไว้ในศิลาจารึก
“เมื่อจักเข้าเวียงเรียงกัน แต่อรัญญิกพู้น ท้าวหัวลานดํบงดํกลอย ด้วยเสียง พาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมัก เลื่อน เลื่อน (วิวัฒนาการนาฏยศิลป์ไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2324-2477)
จากหลักฐานทางศิลาจารึก แม้จะไม่มีคำใดที่แสดงถึงนาฏศิลป์ไทย แต่ก็ สัมผัสได้ถึง ความรื่นเริ่ง สนุกสนาน อยู่อย่างมีความสุข เป็นอย่างมาก
ที่มาภาพ: http://www.thaigoodview.com/node/150462
ตามศิลาจารึกหลักที่ 8 ศิลาจารึกเขาสมณกูฎ พระมหาธรรมราชาที่ 1 ได้จำลองรายพระพุทธบาทจากเขาสมนกูฎในประเทศลังกาเมื่อ ม.ศ.1281 (พ.ศ.1902) ปรากฏจารึกด้านที่ 2 เรื่องการทำสักกระบูชาในเวลาที่ได้แก่รอยพระพุทธบาทขึ้นเขาสุมนกูฎ มีการกล่าวถึงนาฏศิลป์ดังนี้
“..หมากขันพูลูบู-
ชาพิลม ระบำเต้น
เล่นทุกฉัน
...ด้วยเสียงอัน
สาธุการบูชาอี-
กดุริยาพาทย์พิ-
ณฆ้องกลองเสียง
ดังสิพอดังดิน
จักหล่มอันไซร้”
(สืบค้นจาก มหรสพสมโภชในพระราชพิธีฯ)
นาฏศิลป์นั้นเป็นไปได้ว่าอาจมีมาก่อนหน้าที่มีการจดบันทึกในสมัยของ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช แห่งอาณาจักรสุโขทัย ที่แสดงถึงความสงบสุขของชาติบ้านเมือง ที่ว่างจากภัยสงคราม ประชาชนก็ออกมาร้องรำทำเพลงกันอย่างมีความสุข นอกเหนือจากการสร้างความบันเทิงแล้ว นาฏศิลป์ยังได้ถูกนำไปอยู่ในหมวดหมู่ของการบวงสรวงบูชาอีกด้วย ดังในงานสักกระพระพุทธบาทขึ้นเขาสุมนกูฎ.